ธนาคารธนชาต จัดทำโดย นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิ TBANK ที่ A+คงเครดิตองค์กรที่ AA-


        บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 11,000 ล้านบาทของ ธนาคารธนชาต(TBANK) ที่ระดับ “A+" ในขณะเดียวกันคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารที่ระดับ “AA-" รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารที่ระดับ “A+" และ “A" ตามลำดับด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable" หรือ คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการซื้อกิจการและความสำเร็จในการควบรวมกิจการกับ ธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลางที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และกระจายตัวมากกว่า อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ในธุรกิจหลัก อันได้แก่สินเชื่อเช่าซื้อ ตลอดจนเครือข่ายธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และกลยุทธ์ที่เอื้อต่อการเพิ่มความแข็งแกร่งในการผสานกำลังทางธุรกิจของกลุ่มธนชาต

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งของพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จากประเทศแคนาดา คือ Bank of Nova Scotia (BNS) ซึ่งถือหุ้นธนาคารในสัดส่วน 49% อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของธนาคารถูกลดทอนลงจากการมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Asset - NPAs) ในระดับสูง ตลอดจนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งในธุรกิจธนาคารและธุรกิจหลักทรัพย์ นอกจากนี้ การเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของกลุ่มธนชาตอาจถูกจำกัดด้วยปัจจัยความไม่แน่นอนของทั้งสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลก

อันดับเครดิต“A"ของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร(TBANK197A และTBANK247A)สะท้อนถึงความด้อยสิทธิและความเสี่ยงในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และสะสมผลตอบแทน ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2562 และ 2567 ธนาคารสามารถไถ่ถอนหุ้นกู้คืนทั้งจำนวนก่อนครบกำหนดได้ภายหลังระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสารและได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทนี้จะได้รับชำระเงินในลำดับถัดจากผู้ฝากเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกัน และผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้ประเภทนี้ในกรณีที่ธนาคารมีผลขาดทุนในรอบบัญชีก่อนวันกำหนดชำระดอกเบี้ยและธนาคารไม่มีการจ่ายเงินปันผลในช่วงเวลา 6 เดือนก่อนวันกำหนดชำระดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม จำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายคืนจะเป็นจำนวนดอกเบี้ยสะสม

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ คงที่" สะท้อนบทบาทสำคัญของธนาคารในการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มธนชาต โดยคาดว่าสถานะทางการตลาดของธนาคารจะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากการผสานพลังที่ได้จากการควบรวมกิจการ และจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ การเติบโตอย่างสม่ำเสมอของรายได้ การบรรลุวิธีแก้ไขสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่ออันดับเครดิตของธนาคาร

นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนความคาดหมายว่าการลดลงของวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาทเป็น 1 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2555 จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรงโดยทันทีต่อระบบธนาคารพาณิชย์

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ธนาคารธนชาตเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 6 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อที่ 7.9% และเงินฝากที่ 6.3% ธนาคารเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2555 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 26% ด้วยสินเชื่อรวม 303.6 พันล้านบาท (รวมสินเชื่อของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่)

ธนาคารได้ควบรวมกิจการกับธนาคารนครหลวงไทยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ส่งผลให้ธนาคารมีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยเฉพาะภาคสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อมีการกระจายตัวดีขึ้น โดยกระจายไปสู่ธุรกิจทุกภาคส่วน และลดการกระจุกตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจ ณ มีนาคม 2555 คิดเป็น 37% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2552 ในขณะที่สินเชื่อรายย่อยคิดเป็นสัดส่วน 63% ลดลงจาก 78% เมื่อสิ้นปี 2552

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าเงินฝากขนาดใหญ่รวมทั้งเครือข่ายสาขาจำนวนมากของธนาคารนครหลวงไทยซึ่งจะช่วยขยายขอบเขตและสนับสนุนการให้บริการทางการเงินในกลุ่มธนชาตผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารจะมีมูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจ (Franchise Value) ที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการได้ประโยชน์จากการผสานกำลังทางธุรกิจภายในกลุ่มธนชาตยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

ฐานะการเงินของธนาคารธนชาตปี 2553 ดีขึ้นภายหลังการควบรวมกิจการ โดยมีกำไรสุทธิ 8,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% จากปีก่อน อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (Return on Average Asset - ROAA) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (Return on Average Equity - ROAE) ปี 2553 เท่ากับ 1.34% และ 17.51% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ระดับ 1.00% และ 16.48%

 อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการควบรวมกิจการ ธนาคารมีผลประกอบการปี 2554 ลดลงจากปี 2553 ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยธนาคารมีกำไรสุทธิปี 2554 จำนวน 7,671 ล้านบาท ลดลง 13% จากปีก่อน ROAA และ ROAE ลดลงมาที่ระดับ 0.87% และ 10.37% ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง รวมทั้งสำรองหนี้สูญและต้นทุนดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น

ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 มีจำนวน 1,772 ล้านบาท ลดลง 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง รวมทั้งต้นทุนดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้น แต่ ROAA และ ROAE (ยังไม่ได้ปรับเป็นรายปี) อยู่ที่ระดับ 0.20% และ 2.32% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่างวดเดียวกันของปี 2554 ที่ระดับ 0.26% และ 3.06% อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางคาดว่าธนาคารจะสามารถมีผลประกอบการที่ดีขึ้นภายหลังกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จสมบูรณ์

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ภายหลังการควบรวมกิจการ ธนาคารธนชาตมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-performing Loans - NPLs) และ NPAs (สินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน ยอดคงค้างของสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจที่รับโอนมาจากธนาคารนครหลวงไทย ทั้งนี้ ธนาคารได้ใช้ความพยายามในการปรับปรุงแก้ไข NPLs ให้ดีขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ธนาคารมี NPLs คิดเป็น 5.58% ของเงินให้สินเชื่อรวม ลดลงจาก 6.06% ในปี 2553

ทั้งนี้ NPLs อาจเพิ่มขึ้นได้อันเป็นผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยในช่วงปลายปี 2554 ทั้งนี้ ความสามารถของคณะผู้บริหารในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงเวลาภายหลังการควบรวมกิจการยังคงต้องได้รับการพิสูจน์ต่อไป

ภายหลังการควบรวมกิจการ ธนาคารมีแหล่งเงินทุนที่กระจายตัวดีขึ้น อีกทั้งมีโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่สอดคล้องกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของธนาคารอ่อนลงเนื่องจากสินเชื่อมีการเติบโตที่สูงกว่าการขยายตัวของเงินทุน อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินรับฝากซึ่งรวมตั๋วแลกเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 90.4% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 97.3% ในปี 2554 และ 100.1% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 เงินกองทุนของธนาคารมีความแข็งแกร่งขึ้นภายหลังการเพิ่มทุนโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ TCAP และ BNS ในช่วงปี 2553 จำนวน 35.8 พันล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 6.44% ในปี 2552 เป็น 8.29% ในปี 2553 และ 8.62% ในเดือนมีนาคม 2555

ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 เท่ากับ 9.58% และ 14.11% ตามลำดับ แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง (ไม่รวมธนาคาร 4 แห่งที่มิได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ที่ระดับ 10.39% และ 14.89% แต่ยังคงสูงกว่าอัตราส่วนขั้นต่ำที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 4.25% และ 8.50% ตามลำดับ สำหรับระดับเงินกองทุนซึ่งรวมสำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารเพื่อใช้รองรับความเสียหายจากหนี้เสียนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 ธนาคารมี NPAs คิดเป็น 0.7 เท่าของผลรวมของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของระบบธนาคารที่ระดับ 0.5 เท่า

http://www.ryt9.com/s/iq10/1437985

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น